ตรวนตะเคียน (มี E-Book)
ตรวนแห่งรัก พันผูกสองหัวใจไว้ ตรวนแห่งแค้น เผาไหม้ใจที่ริษยา ตรวนแห่งบาป ตามติดตราบ สิ้นชีวา ตรวนแห่งกรรม ล่ามวิญญาณ์ ชั่วนิรันดร์
ผู้เข้าชมรวม
814
ผู้เข้าชมเดือนนี้
30
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องย่อ
2455 เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา...
เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นที่บ้านของ นายทองพับ คหบดีที่ร่ำรวยมากคนหนึ่งในพื้นที่ เมื่อจู่ๆ กลางดึกของคืนหนึ่งก็เกิดไฟลุกไหม้เรือนหลังใหญ่ของครอบครัวจนเหลือแต่ขี้เถ้า เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ อุไร ลูกสาวคนเดียวของนายทองพับเสียชีวิตในกองเพลิง แต่เคราะห์ดีที่คืนนั้น เจือ สามีของอุไร ผู้เป็นลูกเขยไม่อยู่บ้าน และคนในบ้านได้ช่วยเหลือ อรุณ หลานชายวัยแบเบาะเอาไว้ได้ เหตุร้ายที่เกิดนั้นลือกันว่าเป็นฝีมือของอุไรเอง หญิงสาวเป็นคนจุดไฟเผาบ้าน เพราะมีอาการป่วยทางจิต เธอมีสติและอารมณ์ไม่ค่อยสมประกอบนับตั้งแต่คลอดลูกชาย และที่แปลกประหลาดไปกว่านั้น คือคนในบ้านยืนยันว่าคืนเกิดเหตุอุไรเกิดคลุ้มคลั่งอาละวาดในช่วงหัวค่ำ ก่อนที่จะลุกขึ้นมาก่อเหตุร้ายในช่วงกลางดึกขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน
ก่อนหน้านั้นก็เคยมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นในครอบครัว เพราะการหายตัวไปของ ไพรำ หลานสาวกำพร้าของนายทองพับ ที่มาอาศัยอยู่กับครอบครัวนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง จู่ๆ หญิงสาวก็หายตัวไปอย่างไร้ร้องรอยในกลางดึกเมื่อสองปีก่อน และไม่มีใครได้พบเห็นหรือได้ข่าวจากเธออีกเลย
ไม่มีใครรู้หรือคาดเดาได้ว่า อุไรนั่นเอง ที่เป็นผู้รู้ความลับและอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของไพรำ!
อุไร และ ไพรำ เป็นหญิงสาวสวยที่พูดได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน ทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ไพรำเป็นลูกสาวของน้องสาวนายทองพับ พ่อของอุไร หญิงสาวเป็นกำพร้าเพราะพ่อแม่ตายจากตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาว นายทองพับรับหลานกำพร้ามาเลี้ยงเหมือนลูกสาวตัว เพราะฐานะร่ำรวยจึงไม่ได้ลำบากอะไร แม้จะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี มีความเป็นอยู่แตกต่างจากเด็กรับใช้ในบ้าน แต่ไพรำก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเสมออุไรผู้เป็นลูกสาวเลย ทั้งคู่สวยงามไม่แพ้กัน แต่นิสัยใจคอกลับแตกต่างกันลิบลับ ไพรำนั้นสงบเงียบเรียบร้อย เพราะเจียมตัวในฐานะของตน แต่ลึกๆ เธอก็ซ่อนเอาความน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตนไว้ และเฝ้ามองญาติสาวที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมด้วยความอิจฉาที่พยายามเก็บกดไว้ ส่วนอุไร สาวสวยที่มีฐานะทางบ้านเป็นตัวส่งเสริม ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเลิศหรูและสุขสบายเท่าที่เงินของผู้เป็นพ่อแม่จะบันดาลให้ได้ หญิงสาวไม่เคยผิดหวังและยากลำบาก ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วจะไม่ได้ เธอเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มแทบทุกคน ภายนอกแม้สวยงามอ่อนหวาน แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวหลงลำพองในตัวเองและเอาแต่ใจ ไม่ชอบความพ่ายแพ้
ความสัมพันธ์ของสองสาวพลิกผันไป เมื่อมี เจือ หนุ่มหล่อ ทายาทเจ้าของตลาดที่มีแนวโน้มว่าจะมาชอบพอและติดพันไพรำ หลานสาวคนสวยของนายทองพับ ความอยากเอาชนะ แม้แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เพราะรักใครหรือเสน่หาในตัวชายหนุ่มคนกลางอย่างที่สุด อุไรก็ทำทุกวิถีทางจนสามารถแย่งตัวเจือมาครอบครองและได้แต่งงานกันในที่สุด ทิ้งความเจ็บช้ำไว้ให้กับไพรำ ที่ต้องทนกล้ำกลืนอยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้ชายที่ตัวเองรัก และผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาว
แต่เคราะห์กรรมของทั้งสามยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่ออยู่กินไปได้สักพัก อุไรเกิดหวาดระแวงว่าน้องสาวกับสามีจะลักลอบเป็นชู้กัน เพราะเมื่อได้อยู่กินกันจริงๆ แล้ว เจือเองก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้รักอุไรเหมือนเช่นที่เคยรักไพรำ แต่เมื่อตบแต่งเป็นสามีภรรยา เขาก็ต้องรักษาน้ำใจและกล้ำกลืน ความหวาดระแวงและไม่พอใจของอุไรมาถึงจุดแตกหัก ในค่ำคืนหนึ่ง เธอ ‘จัดการ’ ให้เสี้ยนหนามที่ตำตาตำใจอย่างไพรำพ้นไปจากชีวิต ในสภาพที่ไร้ชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวสวยแสนอาภัพ ถูกฝังไว้ที่ท้ายสวนหลังบ้าน ใกล้กันกับต้นตะเคียนใหญ่ตรงคุ้งน้ำ ส่วนลึกสุดของสวนที่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปยุ่มย่าม !
หลังจากนั้นไม่นาน อุไรก็ตั้งท้อง และก็ถูกตามหลอกหลอนจาก ‘ดวงวิญญาณอาฆาต’ และความผิดบาปจากความลับที่เธอปิดบังไว้ ความลับที่เธอไม่อาจบอกใคร และไม่ว่าจะพยายามทำวิธีไหนก็สลัดมันไม่หลุด หลังจากคลอดลูกได้ไม่นาน อาการไม่ปกติของเธอก็ยิ่งหนักหนา จนส่งผลเธอต้องชดใช้กรรมนั้นด้วยชีวิต และด้วยน้ำมือของตัวเองในกองพระเพลิงที่เผาผลาญบ้านเรือนและความลับเอาไว้
เมื่อเรือนใหญ่ดั้งเดิมมอดไหม้ไม่เหลือซาก เจือก็สร้างเรือนหลังใหม่ เป็นเรื่องประหลาด ที่หลังจากไฟไหม้ไปไม่กี่วัน คืนหนึ่งเกิดฝนตกหนักฟ้าร้องคำรามเหมือนคลุ้มคลั่ง แล้วจู่ๆ สายฟ้าก็ผ่าต้นตะเคียนใหญ่ท้ายสวนจนหักโค่นลงมา ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นมีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปี ไม่มีใครรู้แน่ เพราะมันนั้นอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด เจือตัดสินใจเอาตะเคียนต้นนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเรือนหลังใหม่ด้วย เขาเลี้ยงดูลูกชายมาเพียงลำพังโดยไม่ได้มีภรรยาใหม่ แต่นับตั้งแต่เกิดเหตุร้ายและปลูกบ้านหลังใหม่ ครอบครัวก็เหมือนจะหม่นเศร้าทุกข์ระทม ไร้ซึ่งความสุข เหมือนตกอยู่ในเงื้อมมือมืดดำของความทุกข์ ที่ครอบงำมาตั้งแต่รุ่นปู่ สู่พ่อ และมาถึงหลาน จนเมื่อสิ้นบุญของนายอรุณผู้เป็นพ่อ อุดม ลูกชายคนเดียวก็ปล่อยเรือนนั้นทิ้งร้างไว้ แล้วย้ายไปปลูกบ้านหลังใหม่ขนาดเล็กกว่าอยู่กับครอบครัว
เรือนไทยหลังใหญ่นั้นถูกทิ้งเอาไว้ และกลายมาเป็นสมบัติตกทอดยังลูกหลานรุ่นต่อมา
2559 ปัจจุบัน...
‘คุ้มตะเคียน’ เรือนไทยหลังใหญ่ริมแม่น้ำ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชม โดยอยู่ในความดูแลของ ทรงวศิน ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่า ลูกชายคนเดียวของ คุณอุดม ซึ่งรับสืบทอดทุกอย่างของตระกูลอันเป็นสมบัติตกทอดมาจาก คุณอรุณ ปู่ของเขา ในคุ้มตะเตียนนั้น เต็มไปด้วยสมบัติส่วนตัว ของสะสม ทั้งที่มีมูลค่าและเป็นของรักของอดีตผู้เป็นเจ้าของบ้าน ในบรรดาของเหล่านั้น ยังรวมถึงของที่ระลึกในวันแต่งงานของปู่กับย่าด้วย โดยเฉพาะของขวัญแต่งงานชิ้นสำคัญที่หวงแหนอย่างยิ่ง คือกระจกบานยาว กรอบไม้แกะสลักลายงดงาม กับชุดโต๊ะเครื่องแป้งของผู้หญิง ที่ประกอบด้วยกระจกส่องหน้าบานเล็ก กับที่วางของกระจุกกระจิก มุมหนึ่งของโต๊ะนั้นมีร่องรอยเหมือน ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เคยเป็นส่วนประกอบหายไป
และนอกเหนือจากการดูแลพิพิธภัณฑ์แล้ว ครอบครัวของทรงวศินยังเป็นเจ้าของร้าน ‘อิงไอน้ำ’ ร้านอาหารริมแม่น้ำ บรรยากาศดี ที่มี นรุตม์ ชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของทรงวศิน เป็นผู้จัดการร้านและคอยช่วยงานนับตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ร้านอาหารของครอบครัวนั้นมีอายุมายาวนานเกือบสิบปีแล้ว แม้จะเริ่มต้นจากคนรุ่นพ่อ แต่เพราะอยู่ในการดูแลของคนหนุ่มรุ่นใหม่ อย่างนรุตม์และทรงวศินที่ช่วยกัน ทำให้ร้านมีชื่อเสียเป็นที่รู้จักและมีลูกค้ามาอุดหนุนอยู่ไม่เคยขาด
ทรงวศินและนรุตม์ อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ทั้งคู่เป็นหนุ่มเนื้อหอมที่พรั่งพร้อมด้วยหน้าตาและทรัพย์สมบัติ แต่ก็ยังคงหวงความโสด และไม่ได้คบหาผู้หญิงคนใดอย่างจริงจังหรือออกหน้าออกตา สองพี่น้องต่างยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตโสด จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกค้าสาวสวยสองคนที่แวะเข้ามาทานอาหาร และนับจากวันนั้น ชีวิตของสองหนุ่มพี่น้องก็มีสีสันและแปลกแตกต่างจากที่เคยเป็น
วิมพ์วิภา และ ศีตภา สองสาวสวยเพื่อนสนิท ที่รู้จักและคบหากันมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม แม้กระทั่งไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังเกาะเกี่ยวไปด้วยกัน จนความผูกพันนั้นไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งคู่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แม้ว่านิสัยใจคอจะไม่ได้คล้ายคลึงกันก็ตามที เมื่อเรียนจบกลับมา ทั้งคู่ต่างก็กลับมาดูแลและสืบทอดธุรกิจของครอบครัว และแน่นอนว่าด้วยฐานะและหน้าตา สาวสวยก็กลายเป็นที่หมายปองและเป็นดาวเด่นของแวดวงสังคม
วันหนึ่ง วิมพ์วิภาไปค้นเจอของบางอย่างจากลังเก็บของเก่าที่บ้านของย่าต่างจังหวัด และเธอก็นำติดตัวกลับมาด้วย ตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปหญิงสาวในชุดไทยนั่งพับเพียบเรียบร้อยนั้นก็ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลก แต่นับจากวันที่ได้มา วิมพ์วิภาก็เอาแต่ฝันถึงหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวผมยาวในชุดไทยโบราณ กับบ้านไม้หลังใหญ่แปลกตาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน สถานที่ที่ไม่คุ้น กับผู้หญิงในฝันที่เอาแต่พูดซ้ำๆ
‘เอาของเขามาก็เอาไปคืน อโหสิกรรมให้กัน เลิกแล้วต่อกัน’
แม้ความเป็นคนหัวสมัยใหม่ทำให้วิมพ์วิภาพยายามไม่ใส่ใจแต่เธอกลับสลัดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ ใบหน้าและคำพูดของหญิงสาวลึกลับในฝันยังคงติดตามหลอกหลอนเธออยู่ เธอไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสนิทอย่างศีตภาฟัง เพราะกลัวว่าฝ่ายนั้นจะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ จนกระทั่งวันหนึ่ง สองสาวได้พากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารริมแม่น้ำชื่อดัง แล้ววิมพ์วิภาเดินเล่นจากร้านอาหารไปโผล่ยังส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่นั่นเอง เธอจึงเหมือนได้เห็นภาพในความฝันกลับมาปรากฏชัดต่อหน้า ลางสังหรณ์ สัญชาตญาณ และความรู้สึกอะไรบางอย่างที่บรรยายไม่ถูก บอกกับเธอว่า ความฝันของเธอไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระ มันต้องมีที่มา มีเหตุผล และบางที คำอธิบายก็อยู่ที่นี่เอง...ที่คุ้มตะเคียน !
จะเกิดอะไรขึ้น กับชายหนุ่มและหญิงสาวที่โชคชะตาพามาเกี่ยวพันโดยไม่อาจล่วงรู้
และบาปกรรมที่ผูกพันกันมายาวนานนั้น จะทำอย่างไร จึงจะสามารถปลดพันธนาการได้ ?
......
สิ่งใดที่ผูกพันสองหัวใจไว้ยาวนาน ความรักหรือความแค้น ?
สิ่งที่จะปลดพันธนาการซึ่งผูกมัดดวงวิญญาณหนึ่งไว้ในกองทุกข์ อาจเป็น รักหรือแค้น...เฉกเช่นกัน
ผลงานอื่นๆ ของ เดือนสิงห์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เดือนสิงห์
ความคิดเห็น